โรคตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ ซึ่งอาการสำคัญหากอาการมีความเรื้อรังจะเกิดพังผืด การติดต่อของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ การใช้เข็มร่วมกับคนที่มีเชื้อ การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งผ่านเข้าทางบาดแผล การใช้สิ่งของร่วมกับผู้มีเชื้อ เช่นแปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อโดยไม่ป้องกันหากพูดถึงโรคตับอักเสบ
โรคนี้มีหลายชนิด เช่น โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นต้น ตับอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่นการดื่มสุรา การเสพยาเสพติด การติดเชื้อไวรัส เป็นต้น โรคตับอักเสบบี สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง รายละเอียด ดังนี้ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้เป็นโรคตับอักเสบโดยไม่สวมถุงยางอนามัย การใช้เข็ม ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การใช้เข็ม สักตามร่างกาย เจาะหู การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บกับผู้ติดเชื้อ การคลอดบุตรร่วมกับมารดาที่มีเชื้อ
การติดเชื้อสู่เด็ก เราพบว่าเด็กมีโอกาส 90 เปอร์เซ็นต์ที่จะติดเชื้อจากการสัมผัสเลือด และสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ อาการของโรคตับอักเสบบี สำหรับอาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาการของผู้ป่วยติดเชื้อไวรับตับอักเสบบี ระยะเฉียบพลัน พบว่าผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 5 เดือน หลังจากได้รับเชื้อโดยอาการจะมีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดชายโครงด้านขวา คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีผื่น ปวดตามข้อมีโอกาสเกิดภาวะตับวายได้
แต่อาการจะดีขึ้นภายใน 5 สัปดาห์ หากสามารถควบคุมและกำจัดเชื้อไวรัสได้ แต่พบว่าร้อยละ 5 ของผู้ป่วยชนิดฉับพลันจะเป็นโรคตับอักเสบบี เรื้อรัง อาการของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ระยะเรื้อรัง เราสามารถแบ่งอาการของโรคนี้ได้เป็น 2 กลุ่ม คือระยะพาหะและระยะตับอักเสบเรื้อรัง ระยะพาหะ ผู้ป่วยจะพบอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อให้อื่นได้ ระยะอักเสบเรื้อรัง ระยะนี้การทำงานของตับผิดปกติผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ในผู้ป่วยบางรายมีอาการอ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
สำหรับการรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี สามารถใช้ยารักษา แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยของไวรัสบี ปัจจัยทางผู้ป่วย และระยะของโรค โดยในปัจจุบันยาที่ใช้รักษาไวรัสตับอักเสบบี มีทั้งชนิดฉีดและชนิดรับประทาน แนวทางการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี ยังเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ ไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพราะยาปฏิชีวนะฆ่าไวรัสไม่ได้ แต่ใช้ฆ่าแบคทีเรีย ซึ่งที่สำคัญ คือพักการทำงานของตับ โดยการพักผ่อนให้มากๆ
ควรต้องหยุดงานอย่างน้อยประมาณ 3-4 สัปดาห์ นอกจากนั้นคือรักษาสุขลักษณะพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และฟื้นตัวได้เร็ว ลดโอกาสในการติดเชื้อซ้ำ ลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติไม่น้อยกว่า 7-9 แก้วต่อวัน และจำกัดการดื่มน้ำเมื่อไม่ป่วย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ทุกวัน เลิกสูบบุหรี่ และดื่มสุรา เพราะสารพิษในบุหรี่ และแอลกอฮอล์สามารถทำลายเซลล์ตับได้โดยตรง
กินยาแต่ที่เฉพาะได้รับจากแพทย์ ไม่ซื้อยากินเอง เพราะเพิ่มโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาต่อเซลล์ตับสูงขึ้น อาจส่งผลให้ตับอักเสบมากขึ้น อนึ่งในการรักษาโรคในระยะเรื้อรัง ปัจจุบันมีตัวยาหลายชนิด ทั้งฉีด และกิน ใช้เพื่อชะลอการแบ่งตัวของไวรัส ส่วนจะเลือกใช้ยาตัวใด ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ สำหรับการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ในปัจจุบันสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกัน สำหรับคนที่มีคนในครอบครัวเป็นพาหะของไวรัสชนิดนี้
ให้ตรวจเลือดเพื่อให้ทราบถึงภาวะของเชื้อ ฉีดวัคซีนป้องกัน โดยผู้ที่ควรฉีดวัคซีนมากที่สุดคือเด็กแรกเกิด สำหรับเด็กโต และผู้ใหญ่โดยทั่วไปมีความจำเป็นน้อยในการฉีดวัคซีน เนื่องจากส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อแล้ว หากต้องการฉีดวัคซีนควรได้รับการตรวจเลือดผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้วหรือมีภูมิต้านทานแล้วไม่ต้องฉีดวัคซีน ผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่เป็นพาหะควรตรวจเลือดเพื่อทราบถึงภาวะของการติดเชื้อก่อนการฉีดวัคซีนการฉีดวัคซีนต้องฉีดให้ครบชุดจำนวน 3 เข็ม
หลังจากนั้นวัคซีนจะกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย ข้อควรปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคตับอักเสบบี ควรขอรับคำแนะนำจากแพทย์ และระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิด ไม่ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เวลามีเพศสัมพันธ์ต้องสวมถุงยางอนามัย ไม่บริจาคเลือด งดการดื่มสุรา พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากต้องรับการผ่าตัดหรือทำฟัน ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
นานาสาระ: มนุษย์ การให้ความรู้และศึกษาข้อมูลมนุษย์คนแรกปรากฏตัวได้อย่างไร